บทความนี้เล่าเรื่องความล้าหลังของกิจการญี่ปุ่น
ที่เน้นเรื่องมารยาทมากกว่าประสิทธิภาพในการใช้อุปกรณ์สื่อสาร
----------------
ในปัจจุบัน
มีกิจการออฟฟิศจำนวนมากที่ใช้อุปกรณ์ Chat
อย่าง Slack มาช่วยในการสื่อสารติดต่องาน
แต่ก็ยังมีกิจการกลุ่มหนึ่ง
ที่ยังมาวุ่นเน้นกับมารยาทสมัยโชวะ
ทำให้ข้อเด่นในการใช้อุปกรณ์นั้นหายไป
อย่างสมมุติว่ามีซอฟท์แวร์ใช้งานอันหนึ่งอยู่
แทนที่เขาจะปรับสภาพการทำงานให้เข้ากับข้อเด่นของซอฟท์แวร์นั้นๆ
เขาจะเรียกร้องให้มาปรับระบบใหม่
ที่ตอบรับการทำงานแบบเดิมที่มันล่าช้าแทน
-----
Email นั้นเป็นอุปกรณ์ที่ถูกใช้แบบต่อยอดมาจากกระดาษ
คือรวบรวมโน้ตเป็นข้อความ
ส่งต่อให้เฉพาะผู้ที่เกี่ยวข้อง
แล้วรอการตอบกลับ
ซึ่งใน Email จะมีการส่ง
CC (Carbon Copy) กับ BCC (Blind Carbon Copy)
ซึ่งมีที่มาจากการใช้กระดาษคาร์บอนก็อปปี้เอกสารในสมัยก่อน
และมันก็ได้กลายมาเป็นมาตรฐานด้านมารยาทการทำงานขึ้นมา
-----------
แต่อุปกรณ์ Chat นั้น
เป็นของที่มีคอนเซ็ปต์ต่างกัน
เพราะทุกคนจะได้รับข้อความกันหมดแบบเรียลไทม์
และคนที่เห็นก็จะสามารถมาพูดกันเรื่องเนื้อหาเมื่อไหร่ก็ได้
ทำให้มีความสะดวกรวดเร็วในการระดมสมองและแก้ไขปัญหา
---------
แต่มีกิจการหัวเก่าที่บอกว่า
นี่เป็นการใช้งานที่ไม่มีแบบแผนมารยาท
เราจะต้องมากำหนดมารยาทในการใช้งานขึ้นมาก่อน
แล้วบริษัทก็ไปจ้างอาจารย์ด้านมารยาทธุรกิจ
มากำหนดสร้างกฏว่าเราควรจะใช้อุปกรณ์เหล่านี้ยังไง
เช่นตัวอย่างจากทวีตหนึ่งที่เล่าเรื่องบริษัทของตนเอง
- ขึ้นข้อความก่อนว่าคุณเป็นใครสังกัดอะไร
- เขียนกล่าวคำทักทายก่อนเข้าเนื้อหา
(คนที่เคยอ่านจดหมายญี่ปุ่นจะรู้กันว่ายาวเป็นย่อหน้า
ในเรื่องที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับงาน เช่นฤดูกับสภาพอากาศ)
- ห้ามใช้ @Mention เพราะจะไปรบกวนการทำงาน
- ตอนพิมพ์อยู่อาจขึ้น ....is typing
ซึ่งอาจสร้างความรำคาญให้ผู้อื่นได้
เลยต้องไปพิมพ์จากที่อื่น แล้ว Copy Paste ใส่ Chat นั้นเอา
- ถ้าเป็นเรื่องสำคัญ
นอกจากพูดในนี้แล้ว ต้องส่งเมล์อีกรอบด้วย
---------
ถึงแม้ว่าเรื่องที่กล่าวมาด้านบนอาจเป็นข่าวปลอมก็ได้
แต่ถ้าเราดูประวัติการใช้อุปกรณ์ IT ของกิจการญี่ปุ่นแล้ว
เราจะรู้สึกได้ว่ามันไม่ใช่เรื่องเป็นแปลกที่จะเกิดขึ้นได้เลย
องค์กรมีจุดประสงค์นำเอาอุปกรณ์ IT มาใช้
เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน
และให้ทุกคนสามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายดายขึ้น
เลยทำให้มีการนำของจำพวก
ERP (การวางแผนทรัพยากรองค์กร) มาใช้
เช่น SAP หรือ Oracle
โดยการสร้างระบบที่มีประสิทธิภาพขึ้นมาก่อน
แล้วให้องค์กรปรับตัวเพื่อให้เข้ากับประสิทธิภาพนั้นๆ
แต่ในช่วงปีปลาย 1990 ถึงต้น 2000
ก็มีกิจการจำนวนมากนำมาใช้แล้วล้มเหลว
เพราะมายึดติดกับระบอบการทำงานแบบเก่า
ปฏิเสธระบบของ ERP
แล้วมาบอกให้แก้ระบบเพื่อจะได้เข้ากับตัวเอง
ทำให้บริษัทต้องมีภาระเพิ่มขึ้น
จากการต้องมาแก้พัฒนาระบบใหม่แทน
และทำให้ประสิทธิภาพที่มากับ ERP นั้นสูญเปล่าไป
เช่นการยังไม่หยุดวัฒนธรรมลงตราประทับ
ลงเงินให้มาพัฒนาระบบที่จะต้องแสดงรอยตราประทับด้วย
--------
ไม่ว่าระบบของต่างชาติจะล้ำเลิศขนาดไหน
แต่พอถูกนำเข้ามาญี่ปุ่นแล้ว
มันจะถูกทำให้กลายเป็นระบบแบบญีปุ่นแทน
เช่นการประเมินให้ค่ากับการทำงานของบคลากร
แต่เมื่อกิจการญี่ปุ่นนำมาใช้
กลับกลายเป็นระบบสำหรับใช้กดดันพนักงานแทน
และอุปกรณ์ Chat ตอนนี้
ก็กำลังอยู่ในสภาพเดียวกันกับ ERP
ทำให้มีตัวอย่างแบบนี้เป็นจำนวนมาก
และเป็นเหตุให้กิจการญี่ปุ่นล้าหลังในสังคมโลก
-----
ถ้าอยากจะหลีกเลี่ยงปัญหาเหล่านี้
เราจะต้องมากำหนดให้ชัดเจนก่อนว่า
เป้าหมายของเราคืออะไร
เราต้องตอบให้ได้ก่อนว่า
ทำไมเราถึงต้องเอาอุปกรณ์ IT ใหม่ๆมาใช้ตั้งแต่แรก
ไม่เช่นนั้นเราก็จะไม่สามารถใช้งานมันได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การจะมาบอกแค่ว่า [เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ]
มันเป็นการพูดที่เลื่อนลอยไม่มีเนื้อหาเลย
เราต้องมาบอกว่าจะใช้งานไหนส่วนไหน
เพื่อใช้แก้ปัญหาอะไร
และจะเพิ่มประสิทธิภาพได้เท่าไหร่
ไม่อย่างงั้นแล้ว
เงินที่คุณลงไปกับการนำมันมาใช้
ก็จะกลายเป็นเรื่องสูญเปล่า
https://news.line.me/articles/oa-rp33313/eccab841baa3